กองทุนดัชนีคือช่องทางการลงทุนที่ได้รับความนิยมจากนักลงทุนทุกระดับประสบการณ์ และยังมีลักษณะเป็นกองทุนรวมที่มีต้นทุนต่ำ สามารถให้ผลตอบแทนในระยะยาวได้ดี อีกทั้งยังลงทุนได้ง่ายไม่ต้องคัดเลือกหุ้นรายตัว โดยในวันนี้เราจะแนะนำกองทุนดัชนีให้กับนักลงทุนที่กำลังอยู่ในระหว่างตัดสินใจ ได้เข้าใจว่ากองทุนนี้คืออะไร มีประโยชน์อย่างไร และมีการบริหารแบบไหน เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบก่อนการลงทุน
อธิบายความหมาย กองทุนดัชนีคืออะไร
กองทุนดัชนีคือกองทุนรวมที่มีนโยบายเข้าซื้อหลักทรัพย์ทุกตัวตามดัชนีในตลาดหุ้นที่ใช้อ้างอิง โดยมีการบริหารจัดการกองทุนแบบ Passive Fund ที่ไม่ได้มีวัตถุประสงค์สร้างผลตอบแทนให้ชนะตลาด แต่จะให้ผลตอบแทนเป็นไปตามตลาด หรือใกล้เคียงกับตลาดมากที่สุด ไม่ว่าตลาดจะอยู่ในช่วงขาขึ้นหรือขาลง มีผลตอบแทนเป็นกำไรหรือขาดทุน กองทุนดัชนีก็จะมีความเคลื่อนไหวคู่ไปกับตลาดด้วย
โดยเราจะสามารถรู้ได้ว่ากองทุนนั้น ๆ เป็นกองทุนดัชนีหรือไม่ได้จากชื่อของกองทุน ที่นอกจากจะช่วยให้รู้ประเภทของกองทุนแล้ว ยังช่วยให้เรารู้ด้วยว่ากองทุนนั้น ๆ ใช้ดัชนีอ้างอิงตัวใด ยกตัวอย่างเช่น
- SET50 Index ดัชนีที่ใช้อ้างอิงประกอบไปด้วยหุ้นขนาดใหญ่ที่มีสภาพคล่องสูง 50 อันดับแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
- S&P500 Index ดัชนีที่ใช้อ้างอิงประกอบไปด้วยหุ้นขนาดใหญ่ 500 อันดับแรกในตลาดหลักทรัพย์ NYSE ประเทศสหรัฐอเมริกา
- NASDAQ100 Index ดัชนีที่ใช้อ้างอิงประกอบไปด้วยหุ้นเทคโนโลยีจากบริษัทชื่อดังระดับโลก 100 อันดับแรกในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ ประเทศสหรัฐอเมริกา
- Nikkei225 Index ดัชนีที่ใช้อ้างอิงประกอบไปด้วยหุ้นขนาดใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศญี่ปุ่น 225 อันดับแรก
ดังนั้นหากดัชนีอ้างอิงของกองทุนดัชนีคือ SET50 Index จะเท่ากับว่า นักลงทุนได้ร่วมลงทุนหุ้นถึง 50 ตัว ที่อยู่ในดัชนี SET50 Index เพราะกองทุนจะเข้าซื้อหุ้นทั้งหมดที่มีอยู่ในดัชนีอ้างอิง เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่มีความคล้ายคลึงมากที่สุด เช่น หากวันนี้ดัชนี SET50 Index ปิดตลาดที่ +5% มูลค่าของสินทรัพย์สุทธิ (NAV) ของกองทุนดัชนีก็จะเพิ่มขึ้นใกล้เคียงกับ 5% ด้วยเช่นกัน เป็นต้น
เช็กข้อดีและข้อควรระวัง ของกองทุนดัชนีคืออะไร ก่อนเลือกลงทุน
ในโลกของการลงทุน ไม่มีสินทรัพย์ใดที่มีความปลอดภัย 100% กองทุนดัชนีก็เช่นเดียวกัน ที่ถึงแม้จะเคลื่อนไหวไปตามความจริงของตลาด แต่ก็ยังคงมีความเสี่ยงรวมอยู่ด้วย ดังนั้นเมื่อเลือกที่จะลงทุนแล้ว นักลงทุนควรตรวจสอบระดับความเสี่ยงให้แน่ใจว่าสามารถรับได้หรือไม่ โดยข้อดีและข้อควรระวังของกองทุนดัชนีคือ
ข้อดี
- ต้นทุนต่ำ กองทุนดัชนีจะมีต้นทุนที่ถูกกว่ากองทุนประเภทอื่น ทำให้มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว และนักลงทุนพึงทราบเสมอว่า สำหรับการลงทุนแล้ว การที่ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม ถือว่าเป็นผลตอบแทนทางอ้อมที่ได้รับกลับมา เพราะยิ่งกองทุนมีค่าใช้จ่ายมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งลดผลตอบแทนให้น้อยลงเท่านั้น
- ช่วยกระจายความเสี่ยง ด้วยกองทุนดัชนีลงทุนในหลักทรัพย์ตามดัชนีอ้างอิง จึงทำให้ความเสี่ยงกระจายออกไป ตามสินทรัพย์แต่ละตัว เหลือไว้เพียงความเสี่ยงเดียวของกองทุนดัชนีคือ ความเสี่ยงที่เท่ากับตลาด ซึ่งหมายถึงเมื่อตลาดอยู่ในช่วงขาลง กองทุนดัชนีก็จะปรับตัวลดลงตามไปด้วย เพราะการกระจายความเสี่ยง ไม่ได้ช่วยปกป้องนักลงทุนจากภาวะตลาดที่ปรับตัวอยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อเปรียบเทียบกับการลงทุนในหุ้นรายตัว หรือในกองทุนที่มีนโยบายเอาชนะตลาด ความเสี่ยงประเภทที่จะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อเงินลงทุน จะค่อนข้างมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยกับกองทุนดัชนี
- มีเวลาเหลือสำหรับกิจกรรมอื่น เพราะกองทุนดัชนีเคลื่อนไหวไปตามตลาด นักลงทุนจึงไม่ต้องเสียเวลาเพื่อติตตามตลาดมากนัก สามารถใช้เวลาที่มีค่าสำหรับกิจกรรมอื่น หรือศึกษาการลงทุนอื่นเพิ่มเติมได้เลย เพราะเมื่อตลาดหุ้นตกอย่างหนัก หรือทะยานสู่ขาขึ้น นักลงทุนจะอนุมานได้ทันทีว่า กองทุนดัชนีก็จะมีผลดำเนินงานล้อตามไปด้วย
ข้อควรระวัง
ข้อควรระวังที่ไม่ใช่ข้อด้วยของกองทุนดัชนีคือ ความเรียบง่าย ซึ่งจริง ๆ แล้วต้องถือว่าเป็นข้อดีอย่างมาก แต่ก็เป็นข้อควรระวังสำหรับนักลงทุนมือใหม่ ที่ยังไม่มีความเข้าใจในกองทุนมากพอด้วย เพราะกองทุนดัชนีจะไม่ลงทุนในหุ้นที่มีความร้อนแรง แต่จะลงทุนเลียนแบบดัชนีอ้างอิงเท่านั้น อีกทั้งยังใช้กลยุทธ์ไม่สร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาดด้วย ซึ่งแน่นอนว่า ในขณะที่กองทุนดัชนีมีผลตอบแทนคล้ายคลึงกับดัชนีอ้างอิง ก็จะมีกองทุนอื่น ๆ ที่เป็นดาวรุ่งสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่า ดังนั้นนักลงทุนควรตรวจสอบความต้องการของตัวเองให้ดีก่อนการลงทุน และทำการประเมินตัวเองบ่อย ๆ เพื่อปรับพอร์ตการลงทุนให้เหมาะกับเป้าหมายตนเองด้วยเหตุนี้เอง ทำให้กองทุนดัชนีคือกองทุนที่ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนาน โดยนักลงทุนจะเลือกกองทุนประเภทนี้เป็นเครื่องมือสร้างความสมดุลให้แก่พอร์ต เพราะถึงแม้จะให้ผลตอบแทนที่ไม่ฉูดฉาด แต่ในระยะยาวกองทุนนี้มีโอกาศที่จะสร้างผลตอบแทนได้ตามเป้าหมายของนักลงทุน และจากที่มีต้นทุนด้านค่าธรรมเนียมต่ำ ยังถือเป็นข้อได้เปรียบที่เหนือกว่ากองทุนประเภทอื่น